อะไรใหม่ในอิมมิเกรชั่น

ข่าวที่หนึ่ง คือเริ่มวันที่ 1 เมษายน ค่าธรรมเนียมอิมมิเกรชั่นขึ้นหลายฟอร์ม ครั้งล่าสุดค่าธรรมเนียมขึ้นปี  ค.ศ. 2016  ข่าวที่สอง คือเริ่มวันที่ 1 เมษายน อิมมิเกรชั่นได้ออกฟอร์มใหม่ N-400 ใบสมัครโอนสัญชาติเป็นอเมริกันซิติเซ่น ฟอร์มใหม่นี้ได้เพิ่ม เพศที่ 3 คือเพศ X สำหรับ LGBTQIA+  นอกเหนือจาก เพศ ชาย M (Male) หรือ เพศหญิง F (Female) ฟอร์มอิมมิเกรชั่นอื่นๆจะค่อยทะยอยออกมา โดยเพิ่มเพศที่ 3

Transgender Day of Visibility

วัน Transgender Day of Visibility (ทรานสเจ็นเด้อร์ เดย์ ออฟ วิสิบิลิตี้) หรือ วันเปิดเผยของ LGBTQIA+ (เลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ้กชัวล์ ทรานส์เจ็นเด้อร์ เควียร์ อินเตอร์เซ็กส์ และ เอเซ็กชัวล์) ตรงกับวันที่ 31 มีนา เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2009 เริ่มจากประเทศเนเท่อร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกยอมรับวันนี้  ในอเมริกามีหลายกลุ่มที่สนับสนุนจะมีเดินพาเหรดฉลองวันนี้  Transgender Day of Visibility ปีนี้ตรงกับวัน “อีสเต้อร์ซันเดย์” ตามข่าวที่ดิฉันอ่าน ผู้ที่ฉลองวันทรานสเจ็นเด้อร์ เดย์ เพื่อให้เกียรติวันอีสเต้อร์ได้ไปเปลี่ยนไปฉลองและเดินพาเหรดวันเสาร์แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์ ที่ตกเป็นข่าวใหญ่ ป.ธ.น. โจ ไบเดน ขณะออกมาพูดเกี่ยวกับอีสเต้อร์ และพูดถึงสันติภาพทั่วโลก และท่านได้กล่าวแถลง “พรอคคลาเมชั่น” (proclamation) รับวัน Transgender Day of Visibility เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง กลายเป็นข่าวใหญ่หน้า น.ส.พ. ที่ไม่เห็นด้วยที่ไบเดนแถลง“พรอคคลาเมชั่น” (proclamation) รับวัน Transgender Day of Visibility ในวันอีสเต้อร์ และเอ็กซ์ ป.ธ.น. ดอนัลด์ ทรัมพ์ ก็โจมตีว่าไบเดนดูถูกวันอีสเต้อร์ วันสำคัญของของชาวคริสเตียน เพราะตามไบเบิล ไม่ยอมรับการร่วมเพศกับเพศเดียวกัน

กลับมาในแง่รัฐบาลสหรัฐเนื่องจากอิมมิเกรชั่นเป็นสาขาของกระทรวง ความมั่นคงและรักษาความปลอดภัยของสหรัฐ U.S. Department of Homeland Security เพราะอิมมิเกรชั่นได้ผ่านช่องกรอกเพศที่ 3 (เพศ X) ออกมาในฟอร์มของรัฐบาล ก็เทียบเท่ากับรัฐบาลสหรัฐยอมรับ เพศ ที่สาม หรือ เพศ  X  

มารู้จักคำย่อ LGBTQIA+ (แอล จี บี ที คิว ไอ เอ)

ดิฉันเติบโตมารู้จักคำเดียว คือ “กะเทย” พอมาอยู่อเมริกา ก็ค่อยๆเรียนรู้จักศัพท์ต่างๆแยกความหมายของกะเทย ความเฉิ่มดิฉันได้ถามหลานชายที่เป็นเกย์ว่าตอนเขาเริ่มมีแฟนว่า จะให้ดิฉันเรียกแฟนเขาว่าอะไร “บอยเฟร็นด์” หรือ “เกิร์ลเฟรนด์” เขาบอก boyfriend!!!  เรามาทำความรู้จัก และเรียกให้ถูก ดังนี้

L (Lesbian) เลสเบี้ยน คือ ผู้หญิงชอบผู้หญิง เลสเบี้ยนจำนวนมาก ชอบให้เรียกเธอว่า เกย์ หรือ เกย์วูเม่นแทนเลสเบี้ยน

G (Gay) เกย์ คือ ผู้ชายชอบผู้ชาย หรือคุณอาจเรียกผู้หญิงเลสเบี้ยนว่า เกย์ (น่าจะฟังดูดีกว่า)

B (Bisexual) ไบเซ็กชั่วล หรือ “ไบ” คือ ผู้ที่ชอบ หรือมีความรักได้ทั้งสองเพศ ผู้ชายหรือ/และผู้หญิง

T (Transgender) ทรานส์เจ็นเด้อร์ คือ ผู้ที่ได้แปลงเพศเป็นเพศตรงข้ามกับเพศกำเนิดของตน

Q (Queer) เควียร์ คือผู้ที่ชอบทั้งสองเพศ คือเอาทั้งสองเพศ คำว่า เควียร์ ตามดิคชันนารี แปลว่า ประหลาด คำนี้ไม่เพราะ ไม่ควรใช้

I (Intersex) อินเตอร์เซ็กส์ คือ บุคคลที่เกิดมามีลักษณะอวัยวะสืบพันธ์ของทั้งสองเพศ หรือปริมาณฮอร์โมนหรือโครโมโซมเพศที่ผิดปกติ หรือแม้กระทั่งลักษณะด้านอื่นๆ ที่ค่อยๆ ปรากฎเมื่อเติบโตขึ้นถึงวัยเจริญพันธุ์ คำว่า อินเตอร์เซ็กส์มักจะหมายถึงลักษณะทางเพศที่แสดงออก แพทย์เป็นผู้ระบุเพศลงในใบเกิด ซึ่งอาจจะไม่ “แม็ช์” (match) กับเพศจริง เมื่อผู้นั้นเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสาว ผู้ที่เป็นอินเตอร์เซ็กส์ บางคนไม่ต้องการจัดตนเข้ากลุ่ม LGBTQIA+

A (Asexual) เอเซ็กชั่วล เรียกย่อว่า ace (เอซ) หมายถึงผู้ที่ไม่มีประสพการณ์ ดึงดูดทางเพศ เป็นคำที่ครอบคลุมที่อาจรวม ผู้ที่แทบจะไม่สนใจด้านเพศเลย หรือน้อยมากๆ

N (Nonbinary) นอนไบนารี่ ใช้คำนี้กับเพศหญิง หรือ ชาย ที่ยังหาศัพท์เพื่ออธิบายตนเองว่าเป็นอะไรไม่ได้ เช่น เควียร์ ก็ไม่ใช่ เป็นไบก็ไม่ใช่ ???? เป็นต้น

+ (Plus) พลัส หรือ บวก คือครอบทุกเพศ และครอบทุกวิธีร่วมเพศที่ยังไม่สามารถอธิบายได้

คุณสามารถเปลี่ยนใส่ เพศใหม่ได้ในเอกสารรัฐบาล ในอนาคตใกล้ๆนี้

  • พาสปอร์ต  เข้าไปใน   webpage Change or correct passport    
  • ใบขับขี่ อันนี้ต้องคอยเพราะแต่ละรัฐ อาจจะไม่เหมือนกัน  เช็คเข้าไปใน  Local Motor Vehicle Authority
  • ใบซิติเซ่น คุณสามารถกรอก Form N-565 Application for Replacement Naturalization/Citizenship Document ขอปลี่ยนเพศได้

ผู้ที่อยู่ในระหว่างรอเรื่องจากอิมมิเกรชั่น คุณสามารถขอเปลี่ยนใส่เพศใหม่ หรือเพศ X ได้ กรณีคุณได้จดหมายจากอิมมิเกรชั่นขอหลักฐานเพิ่ม  Request for Evidence (RFE) หรือ เมื่อได้วันนัดสัมภาษณ์ คุณสามารถบอกเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่น ขอเปลี่ยนเพศได้วันไปสัมภาษณ์ โดยไม่ต้องแสดงหลักฐานอื่นเพิ่ม

ทำไมดิฉันเขียนหัวข้อนี้

ดิฉันเข้าใจความรู้สึก เพราะเคยทำเคสซิติเซ่นให้ลูกความที่แปลงเพศจากชายเป็นหญิง เธอถามดิฉันว่าจะกรอกฟอร์มใส่เพศหญิงได้หรือไม่  ดิฉันตัดสินใจกรอกเพศชายตามใบเกิดของเขา ตอนนี้ดิฉันเข้าใจแล้วถึงศักดิ์ศรี และอิสระในการเลือกเพศของบุคคล ดิฉันเป็นทนายอิมมิเกรชั่นราวปี ค.ศ. 1996 ในปีนั้นรัฐฮาวายอิมีการเคลื่อนไหวจะผ่านกฎหมาย การสมรสระหว่างเพศเดียวกัน “เซมเซ็กส์แมริเอจ แอ๊กท์” (same sex marriage act) รัฐบาลกลางกลัวว่าถ้าผ่านจะมีปัญหาอื่นตามมา เช่น สวัสดิการสังคมต่างๆจากรัฐบาลกลาง รัฐบาลกลางจึงผ่านบทกฎหมายออกมา เรียก “ดีเฟ๊นซ์ ออฟ แมริเอจ แอ๊กท์”  (Defense of Marriage Act หรือ DOMA) คือไม่รับการแต่งงงานระว่างเพศเดียวกัน ฉะนั้น ไม่ออกใบเขียวให้คู่แต่งงานระหว่างเพศ จนกระทั่งปี ค.ศ. 2013 สิบเจ็ดปีให้หลัง คดี U.S. Supreme Court V. Windsor (2013) “เซมเซ็กส์แมริเอจ แอ๊กท์” ขึ้นถึงศาลสูงสุด เคสชนะ หลังจากนั้นอิมมิเกรชั่นเปิดรับใบเขียวแต่งงานระหว่างเพศมา ณ. วันนี้ 28 ปีให้หลัง ดิฉันดีใจที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และมีส่วนได้ช่วยคู่สมรสหลายคู่และคู่สมรสระหว่างเพศเดียวกัน หลายคนอาจคิดว่า big deal กับเพิ่มการกรอกเพศที่สาม แต่มันเป็นความภูมิใจ และหยิ่งในศักดิ์ศรีและเปิดเผย“ไอเด็นติตี้” ของตน ดิฉันพูมใจที่เป็นทนายความที่นี่ เพื่อนสนิทเคยบอกดิฉันว่า “ตุ้ย ตัวน่ะเปลี่ยนชีวิตคนได้เลยนะ”

เดือนกุมภา-เดือนแห่งความรัก

สวัสดีค่ะปีใหม่ค่ะ ดิฉันพึ่งกลับจากไทยปลายมกรา พึ่งสะสางงานเสร็จจึงมีโอกาสเขียนคอลัมน์ ดิฉันชอบเดือนกุมภา มันเหมือนเริ่มต้นปีใหม่สำหรับดิฉันมากกว่าเดือนมกรา กุมภาถือเป็นเดือนแห่งความรัก เพราะวันวาเล็นไทน์ สามีและดิฉันแต่งงานวันวาเล็นไทน์ และเดือนกุมภายังเป็นเดือนวันเกิดสามี ปีนี้เดือนกุมภามี 29 วันอีก เป็นปี อธิกสุรทิน หรือ เดอะ ลี๊พเยียร์ (The Leap Year)


ที่มาของงปีอธิกสุรทิน หรือ The Leap Year
ท่านจักรพรรดิ “จูเลียส ซีซ่าร์” (Julius Caesar) รัฐบุรุษและผู้ประพันธ์ร้อยแก้วมีชื่อของชาวโรมัน เป็นผู้คิดค้นปฎิทิน “จูเลียน” (Julian Calendar) มาตั้งแต่ 46 B.C. (B.C. ย่อมาจาก Before Crist คือก่อนไครสต์ประสูติ) ปฏิทินจูเลี่ยน เรียกชื่อตาม จูเลียส ซีซ่าร์ มีกฏว่าปีไหนที่หาร 4 ได้ลงตัว ถือเป็น Leap Year เป็นผลให้มี Leap Year บ่อยมาก และยังมีผิดพลาด 1 วัน ในทุก 128 ปี หลังจากนั้นมีการปฏิรูปปฏิทินกันขึ้นไปเรื่อยๆจนมาปี ค.ศ. 1582 “โป๊ป เกรกอรี่ 13” (Pope Gregory XIII) เป็นผู้แนะนำใช้ปฏิทินใหม่มี 365 วันและทุก 4 ปีจะมีเกิน 1 วัน โดยปรับตาม “อิควิน็อกซ์” (Equinox) (อิควิน็อกซ์ คือ วันที่มีกลางวันยาวกว่ากลางคืน) ปฏิทินนี้ได้เรียกชื่อตามท่าน โป๊ปเกรกอรี่ เรียก “เกรกอเรียน คาเล็นเด้อร์” อเมริกาและอังกฤษยอมรับ “เกรกอเรียน คาเล็นเด้อร์” อย่างเป็นทางการปี ค.ศ. 1752 ปัจจุบันทั่วโลกยอมรับเป็นปฎิทินสากล “ปฏิทินเกรกอเรียน” (Gregorian Calendar) บางครั้งเรียก “เวสเทอร์น คาเล็นเด้อร์” (Western Calendar) หรือ “คริสเตียน คาเล็นเด้อร์” (Christian Calendar) ฉะนั้นในเมืองไทยจึงเรียกปีสากลว่า “คริสต์ศักราช” เวลาเราเขียนปี คริสต์ศักราช เราจะใช้อักษรย่อว่า A.D. ย่อมาจากภาษาลาติน anno domini nostri iesu christi ซึ่งแปลคำต่อคำว่า “ปีของพระผู้เป็นเจ้าเยซู ไครสท์” คือเป็นปีที่ใช้อ้างอิงโดยเริ่มนับจากปีที่เชื่อว่าพระเยซูเกิด และมีอายุครบ 1 ปี เท่ากับ ค.ศ. 1


วาเล็นไทน์ เดย์ (Valentine Day)
วันวาเล็นไทน์หรือวันแห่งความรัก วันวาเล็นไทน์ ตรงกับวันที่ 14 ก.พ. ประวัติความเป็นมาคือ ในช่วงศตวรรษที่ 3 เป็นยุคล่าดินแดนของโรมัน กษัตริย์โรมันชื่อท่าน “คลาวเดียที่ III” ได้เกณท์กองทัพทหารส่งชายหนุ่มไปสู้รบ กษัตริย์กลัวว่าชายหนุ่มไม่อยากไปสงครามหรือใจเขวถ้ามีความรัก จึงออกกฎห้ามไม่ให้ชายหนุ่มแต่งงาน บาทหลวงชื่อ “เซ็นท์ วาเล็นไทน์” (Saint Valentine) ไม่เห็นด้วยและต่อต้านกฎหมายนี้ ท่านได้แอบลักลอบทำพิธีสมรสลับให้คู่หนุ่มสาวก่อนที่ชายหนุ่มจะไปรบ ภายหลังกษัตริย์คลาวเดียรู้เข้า จึงจับ “เซ็นท์ วาเล็นไทน์” เข้าคุก ระหว่างรอการประหารชีวิต“เซ็นท์ วาเล็นไทน์”ได้หลงรักลูกสาวของนักโทษผู้หนึ่ง ก่อนวันประหารท่านได้แอบส่งจดหมายไปสารภาพรักต่อลูกสาวนักโทษ และลงท้ายจดหมายว่า “จากวาเล็นไทน์ของเธอ” “From your Valentine” เซ๊นท์ วาเล็นไทน์ ถูกประหารชีวิตวันที่ 14 กุมภา
ในปี ค.ศ. 1847 หญิงอเมริกันชื่อ Esther Howland อยู่รัฐแมสสาจูเซสท์ เธอหัวใสได้เริ่มทำคาร์ดวาเล็นไทน์ขาย เป็นรูปหัวใจและกามเทพยิงศร พระกามเทพหรือ“คิวปิด” (Cupid) คือเทพเจ้าแห่งความรัก วันวาเล็นไทน์จึงกลายเป็นวันแห่งความรักไปทั่วโลก “คาร์ด วาเล็นไทน์” เป็นคาร์ดที่ขายดีที่สุด มากกว่าคาร์ดวันเกิด หรือคาร์ดคริสมัส

เลิฟวิ่ง เดย์ (Loving Day)
“เลิฟวิ่ง เดย์” เป็นอีกวันหนึ่งของ วันแห่งความรัก ถึงแม้จะไม่ได้ตรงกับวันของเดือนกุมภา แต่เป็นเรื่องจริงไม่ใช่ตำนานและเกิดในยุคดิฉัน ดิฉันได้ศึกษาคดี Loving v. Virginia ตอนเรียนกฎหมาย โจทก์คือ นายและนางเวิฟวิ่ง ซูรัฐเวอร์จิเนีย ความเป็นมาคือ ปี ค.ศ. 1958 นาย “ริชาร์ด เลิฟวิ่ง” คนขาวได้แต่งงานกับนางสาว “มิลเดร็ด” ลูกครึ่งผิวดำและขาว ทั้งสองเป็นแฟนกันมาตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือ อยู่ในรัฐเวอร์จิเนีย กฎหมายรัฐเวอร์จิเนียห้ามการแต่งงานระหว่างผิวและถือเป็นคดีอาญาถึงขั้นติดคุก ทั้งสองเดินทางไปจดทะเบียนสมรสใน“วอชิงตัน ดีซี” อย่างถูกกฎหมาย และกลับไปอยู่ฟาร์มของตนในเวอร์จิเนีย 5 อาทิตย์หลังจดทะเบียน ตำรวจบุกเข้าไปในบ้านตอนดึกและจับทั้งสองเข้าคุก เมื่อขึ้นศาลรัฐ ผู้พิพากษาลงโทษว่าผิดแต่ท่านพักการลงโทษ ได้เสนอเงื่อนไขว่าทั้งสองต้องย้ายออกจากรัฐ และห้ามกลับเข้ามาเป็นเวลา 25 ปี ทั้งสองได้ย้ายไปอยู่แถบ“วอชิงตัน ดีซี” ทั้งสองต้องการย้ายกลับฟาร์ม ได้อุทธรณ์และไปถึงศาลสูงสุดของรัฐแต่แพ้มาตลอด ในที่สุดเขาได้ไปปรึกษาท่านอัยการสูงสุดช่วงนั้นนั้น คือ “โรเบิร์ท เคเนดี้” (น้องชาย จอห์น เอฟ เคเนดี้) เคเนดี้ได้แนะนำทั้งสองให้ไปหาองค์กร The American Civil Liberties Union “ACLU” องค์กรที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและความเสมอภาคของคนผิวดำ ACLU รับเคสและได้ต่อสู้คดีไปถึงศาลสูงสุด “U.S. Supreme Court” โดยอ้างรัฐธรรมนูญ ข้อ 14 ที่ “การันตี สิทธิทุกคนที่จะ แสวงหาความสุข “Personal rights to pursuit of happiness” รวมทั้งสิทธิที่จะแต่งงาน “Freedom to marry” ซึ่งสิทธินี้เป็นสิทธิที่สถิตอยู่ในตัวบุคคลไม่ว่าจะสีผิว เชื้อชาติ หรือ สัญชาติอะไร รัฐไม่สามารถละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนั้นๆได้” ศาลคว่ำคดีรัฐตัดสินให้ The Loving ชนะ ตรงกับวันที่ 12 มิถุนายน ปี 1967 (ดูรูป) หลังจากชนะคดี ครอบครัว “เลิฟวิ่ง” พ่อแม่และลูก 3 คน ได้ย้ายกลับไปอยู่ฟาร์มที่รัฐเวอร์จิเนีย ค.ศ. 1975 แปดปีให้หลัง นาย“ริชาร์ด” เกิดอุบัติเหตุถูกรถชนตาย นางมิลเดร็ดไม่เคยแต่งงานใหม่ เธอเสียชิวิตปี ค.ศ. 2008 หลังจากคำตัดสินคดี Loving v. Virginia รัฐเวอร์จิเนียและหลายรัฐยกเลิกกฎหมายห้ามแต่งงานระหว่างผิว รัฐอลาบาม่าเป็นรัฐสุดท้ายที่ยกเลิกกฎหมายห้ามแต่งงานระหว่างผิวในปี ค.ศ. 2000

นางมิลเดร็ดและนายริชาร์ด เลิฟวิ่ง ปีค.ศ. 1967


คำตัดสิน คดี Loving ได้เปิดประตูให้คดี Obergefell v. Hodges คดี “แต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน” (Same sex marriage) ชนะ ปี ค.ศ. 2015 ใน คดีขึ้นไปถึงศาลสูงสุด “U.S. Supreme Court” ท่านตุลาการ “แอนโทนี่ เคเนดี้”ได้อ้างถึงคดี Loving เป็นบรรทัดฐาน ศาลตัดสินว่า “สิทธิในการแต่งงานถือเป็นสิทธิพื้นฐาน” (Fundamental right) ซึ่งการันตีให้ทุกคนรวมทั้งคู่สมรสเพศเดียวกัน ศาลสั่งว่าทุกรัฐทั้ง 50 รัฐ(ยกเว้นอาณานิคมของอเมริกา)ไม่สามารถปฏิเสธไม่จดทะเบียนสมรสให้เพศเดียวกันได้
แนะนำหนัง 2 เรื่อง ที่ดิฉันดูวันวาเล็นไทน์คือ The Leap Year ดูแล้วแฮ็ปปี้ อีกเรื่องคือ The Loving Story เรื่องนี้ดูเป็นความรู้ เศร้าหน่อยค่ะ

มาทำความเข้าใจระบบกฎหมาย

คอลัมน์ข้างล่างนี้คัดมาจากคอลัมน์ที่ดิฉันลง“หนังสือพิมพ์เสรีชัย”รายสัปดาห์ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) 

มี 2 คำถามจากแฟนคอลัมน์ทั้งสองท่านมีปัญหากฎหมายติดตัว ต้องการทราบว่าจะมีปัญหากับการขอใบเขียวหรือไม่

คำถาม 1. ผู้ถาม ยังเป็นหนี้บริษัทผ่อนรถยังไม่หมด เพราะรถพัง เขาได้หยุดผ่อน

คำถาม 2. ผู้ถามถูกฟ้องล้มละลายในเมืองไทย และบินมาอเมริกา ปัจจุบันพาสปอร์ตขาดและต่อไม่ได้

ระบบกฎหมายสหรัฐ

ระบบกฎหมายสหรัฐเป็นระบบกฎหมายจารีตปะเพณี “คอมม่อน ลอว์” (Common Law) มีจุดกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ หมายถึงกฎหมายที่ใช้บังคับทั่วไป แต่ไม่มีตัวบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร คือนำคำตัดสินในคดีก่อนๆที่คล้ายคลึงกัน มาเป็นแนววินิจฉัยในรูปคดีที่คล้ายกัน กาละเวลา สถานที่ และความนึกคิดของลูกขุน อาจทำให้คำตัดสินแตกต่างกันไปได้ ระบบนี้ต่างจากกฎหมายไทยซึ่งใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร “ซิวิล ลอว์” (Civil Law) ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากกฎหมายโรมัน

คดีแพ่ง VS คดีอาญา

คดีแพ่ง หรือ “ซิวิล เคส” (Civil Case) เป็นคดีระหว่างบุคคล หรือระหว่างบุคคลกับบริษัท กฎหมายแพ่งได้แก่กฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิ และหน้าที่ที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลในชีวิตประจำวัน การค้าธุรกิจ ทรัพย์สิน ครอบครัว และมรดก เป็นต้น จุดประสงค์ของการซู คือเรียกร้องค่าเสียหาย

คดีอาญา หรือ “คริมินัล เคส” (Criminal Case) เป็นคดีระหว่างรัฐกับบุคคล กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงหลักเกณฑ์แห่งความรับผิดทางอาญา การกระทำที่ถือว่าเป็นความผิด และการลงโทษผู้ผิด อัยการเท่ากับเป็นตัวแทนของบุคคลทั้งรัฐ ที่จะไต่สวนผู้ต้องหาและตัดสินว่าควรจะตั้งข้อกล่าวหาใหม จุดประสงค์ของคดีอาญาคือ ต้องการให้บ้านเมืองสงบสุข และลงโทษผู้ผิด โดยการปรับเงินหรือจำคุก เพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่าง

คดีบิดพลิ้วสัญญา “บรีช ออฟ คอนแทร็ก เคส” (Breach of Contract Case)   

ตามคำถามข้อ 1 คุณเซ็นสัญญากู้เงิน ผ่อนรถ เมื่อคุณหยุดผ่อนก่อนครบกำหนด ถือว่าคุณบิดพลิ้วสัญญา คดีบิดพลิ้วสัญญาเป็นคดีแพ่งค่ะ ตามกฎหมายอิมมิเกรชั่น  จะไม่มีผลกระทบกับการขอใบเขียว นอกจากจะเป็นคดีอาญาเท่านั้นที่จะมีผลต่อการขอใบเขียว

คดีล้มละลาย “แบ๊งรัพท์ซี่ เคส” (Bankruptcy Case)

คำถามข้อ 2 ผู้ถามมีคดีล้มละลายติดตัวในไทยกลัวจะมีปัญหาตอนขอใบเขียว เรามาทำความเข้าใจเรื่องล้มละลายในอเมริกา คดีล้มละลายเป็นเรื่องธรรมดามากในเมริกา ดิฉันจะพูดถึงคดีล้มละลายส่วนบุคคลในอเมริกาเป็นคดีดีแพ่ง ผู้ล้มละลายยื่นเรื่องขึ้นศาลเอง ระหว่างยื่นและจนเคสปิด จะไม่มีเจ้าหนี้มาทวงเอาเงิน เมื่อคดีปิด ผู้ล้มละลายดำเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติไม่มีผลร้ายแรงกับการดำเนินชีวิต เพียงแต่เครดิตเสีย ต่างกับคดีล้มละลายในไทย ซึ่งเจ้าหนี้เป็นผู้ยื่นเรื่องฟ้องล้มละลาย ผู้ที่ตกเป็นบุคคลล้มละลายในไทยมีผลกระทบต่อชีวิตมาก เช่น ไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่สามารถดำรงตำแหน่งในบริษัท และเรื่องใหญ่คือไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ ไม่สามารถขอหรือต่อพาสปอร์ตได้ 

กรณีพาสปอร์ตไทยคุณหมดอายุไม่เป็นผลตอนไปสัมภาษณ์ค่ะ ตราบใดที่คุณมีพาสปอร์ตเล่มเก่าที่คุณมีวีซ่าเข้าอเมริกา ที่ดิฉันแนะนำลูกความคือ หลังได้ใบเขียว ดำเนินชีวิตในอเมริกาอย่างปกติ เป็นพลเมืองดี รอให้ได้เป็นอเมริกันซิติเซ่นก่อน จึงขอพาสปอร์ตอเมริกัน และค่อยเดินทางออกนอกประเทศค่ะ

คนไทยกลัวถูกซู

ดิฉันหายไป 4 เดือนไม่ได้เขียนคอลัมน์ตั้งแต่พี่สาวตายจากไปเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ละเดือนดิฉันผลัดตัวเองว่า รอเดือนหน้า นี่เข้าเดือนที่ 4 ดิฉันเกลียดการผลัดวันประกันพรุ่งนี้ เพราะคำสอนแม่ “ทำทันที” ติดอยู่ในใจ สรุปดิฉันตัดสินใจจะไม่เลิกลงคอลัมน์ แต่จะ “รี รัน” (rerun) เลือกคอลัมน์เก่าที่ดิฉันได้เขียนมาในระยะ 29 ปีมาลง เพราะคิดว่าตราบใดที่ดิฉันยังทำงานอยู่ และยังสามารถทำประโยชน์ให้สังคมคนไทยในอเมริกาได้ ดิฉันก็จะทำต่อไป

คอลัมน์แรกที่ดิฉันลง“หนังสือพิมพ์เสรีชัย”รายสัปดาห์คือ 6 กันยายน ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) หัวข้อ คนไทยกลัวถูกซู

ดิฉันได้เริ่มเขียนบทความไปได้หลายหน้า ยิ่งเขียนยิ่งบานปลาย ในที่สุดดิฉันถามลูกค้า“คุณประกอบ” ว่าคนไทยจะสนใจเรื่องกฎหมายไหม คุณประกอบตอบว่า“สนซี่ เพราะคนไทยกลัวถูกซู” ดิฉันเลยนึกจะเขียนข้อความขึ้นหัวเรื่อง “จะหลีกเลี่ยงการถูกซูได้อย่างไร” แต่เปลี่ยนใจ เพราะขอตอบเลยว่า มีวิธีเดียวที่คุณจะเลี่ยงได้คือถ้าคุณมีแต่ตัว จะไม่มีใครอยากซูคุณ แต่ถ้าคุณมีทรัพย์สมบัติหรือคุณมีประกัน จะเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกซู

คำแนะนำที่ดิฉันจะให้คือ คุณควรมีความรู้ทั่วไปทางกฎหมาย หรือถ้าสิ่งใดที่คุณไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิดกฎหมาย ก็ใช้สามัญสำนึกตัวเองว่าคุณสบายใจไหมถ้าทำสิ่งนั้น และคุณสามารถประกาศให้คนทั้งโลกรู้โดยไม่ปิดบังได้ไหม เพราะกฎหมายก็คือ ระเบียบความประพฤติของปวงชน เพราะถ้าคุณหวาดระแวงกลัวถูกซูไปเสียหมด คุณก็คงประสาทกินตาย เพราะในสังคมนี้ ไม่ว่าคุณจะระวังตัวอย่างไรก็ไม่วายที่จะถูกซูได้ถ้าคุณมีทรัพย์สมบัติ

คดีแม็กโดนัลด์กับกาแฟร้อน

คุณคงได้ยินข่าวเร็วๆนี้ที่หญิงแก่วัย 79 ปีซูแม็กโดนัลด์ เธอซื้อกาแฟจากแม็กโดนัลด์ที่เมืองอัลเบอร์เคอคี รัฐนิวเม็กซิโก เธอหนีบถ้วยกาแฟไว้หว่างขาและพยายามเปิดฝา ขณะที่ลูกชายกำลังขับรถ กาแฟหกไหม้ขา หว่างขา และตะโพก ตามระเบียบการของแม็กโดนัลด์ กาแฟร้อนต้องมีอุณหภูมิ 180 องศา ซึ่งมากกว่ากาแฟร้อนตามบ้านซึ่งมีอุณหภูมิเพียง 135-140 องศา เพราะกาแฟร้อนมากกว่าปกติ และไม่มีคำเตือนติดไว้ที่ถ้วยกาแฟ เธอชนะคดี ลูกขุนตัดสินให้แม็กโดนัลด์จ่ายค่าเสียหาย 2.9 ล้านเหรียญ เป็นค่าเสียหายและค่าปรับสินไหม (punitive damages) ค่าปรับสินใหมจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ร้ายแรงและความมั่งคั่งของจำเลย

คดีนี้เป็นคดีที่ไม่น่าเกิดขึ้นหรือโจทก์ก็ไม่น่าจะชนะ เพราะถ้าสถานะการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตาสี ตาสา ป้าคนนี้แกก็คงไม่ซู หรือจะพูดให้ถูก ก็คือไม่มีทนายยอมซู แต่แม็กโดนัลด์เป็นยักษ์ใหญ่มีเงินหนา (deep pocket) ใครๆก็อยากซู

หรืออาจเป็นเพราะว่า ตัวแม็กโดนัลด์เองถือว่าตัวเป็นยักษ์ใหญ่ อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะซูคนอื่นเช่นกัน เร็วๆนี้แม็กโดนัลด์ได้ไปขู่จะซูเจ้าของร้านขายกาแฟเล็กๆคนหนึ่ง นาง Elizabeth McCaughey (นามสกุลอ่านออกเสียง แม็กคอฟฮี่) ที่เมือง Half moon bay แถวซานฟราน (San Francisco) เธอตั้งชื่อร้านขายกาแฟตามนามสกุลเธอเองว่า McCoffee (แม็กคอฟฟี่) แม็กโดนัลด์บังคับให้เธอเปลี่ยนชื่อร้านใหม่ เพราะเขาไม่ต้องการให้เธอใช้คำว่า “Mc” (แม็ก) ซึ่งไปใกล้เคียงกับเมนูของเขา เช่น บิ๊ก แม็ก หรือ เอ็กแม็คมัฟฟิน ฯลฯ เธอต้องยอมเปลี่ยนชื่อร้าน

นี่ก็เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นกัน ที่ยักษ์ใหญ่อย่างแม็กโดนัลด์จะไปสนว่าร้านขายกาแฟเล็กๆในเมืองเล็กๆจะไปเป็นคู่แข่งหรือสร้างปัญหาให้เขา หรือเขาเพียงแต่จะรังแกผู้น้อย 

ถ้าคุณเชื่อทางด้านศีลธรรมที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ทุกขโตทุกขถานังมันก็อาจเป็นไปได้ หรือคุณคิดว่าอย่างไร???

วัน“เมโมเรียล เดย์” (Memorial Day)

วันนี้วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม วัน“เมโมเรียล เดย์”ของอเมริกา เป็นวันรำลึกทหารผ่านศึกที่ล่วงลับไปแล้ว ตรงกับวันจันทร์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมแต่ละปี ประธานาธิบดีจะไปทำความเคารพที่สุสานทหารผ่านศึก “อาร์ลิงตัน” รัฐเวอร์จิเนีย วันรำลึกนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี  ค.ศ. 1868 หนึ่งปีหลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง (หรือสงครามเลิกทาส) จนกระทั่งปี ค.ศ. 1971 รัฐบาลได้สถาปนาวันจันทร์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม เป็นวันหยุดราชการอย่างทางการ “เมโมเรียล เดย์” และวัน “เมโมเรียล เดย์” อย่างไม่เป็นทางการ ถือเป็นวันเริ่มต้น “ซัมเม่อร์” อีกด้วย

ปัจจุบันคนทั่วไปถือวันนี้เป็นวันที่ระลึกผู้ที่ล่วงลับจากเราไป พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อน เป็นต้น เดือนที่ผ่านมา พี่สาวดิฉันเสียชีวิตด้วยโรค “อัลซายเม่อร์” เรามีกันสองคนในอเมริกา ทำให้ดิฉันเศร้ามาก คุณแม่เคยสอนว่า “คนเราไม่จากเป็น ก็จากตาย” ก็ถูกต้องอยู่ แต่พี่สาว “ทั้งจากเป็นและจากตาย” เพราะเธอจำดิฉันไม่ได้มาหลายปีก่อนตาย พี่สาวคนโตของดิฉันปลอบใจว่า โรค“อัลซายเม่อร์” นี้เธอไม่เจ็บปวดทรมาน ถ้าเปรียบกับมะเร็ง จะเจ็บปวดทรมานมาก (ฮือๆๆ)

ตอนนี้ดิฉันเหลือพี่สาวคนโต “พี่ต้อย” 1 คนอยู่เยอรมัน และน้องชายคนสุดท้อง “น้องต๋อ” 1 คนอยู่เมืองไทย ตอนคุณพ่อเสีย ดิฉันเศร้า แต่ไม่ถึงกับหมดแรง 8 ปีให้หลังคุณแม่เสียตอนนั้นดิฉันแทบหมดแรง โศรก เสร้ามาก “พี่ต้อย”บอกว่า ที่เราเศร้ามากที่คุณแม่จากเราไป เพราะเท่ากับตอนนี้“เราไม่เป็นลูกใครแล้ว” พี่เขาพูดถูกต้อง ใช้เวลานานมากกว่าจะทำใจได้ นึกย้อนถึงประโยคที่พี่ต้อยบอกหลังคุณแม่เสียว่า “เราไม่เป็นลูกใครแล้ว” เลยตั้งสติได้ว่า “ดิฉันยังเป็นน้องสาว และเป็นพี่สาวคน”

สุสานทหารผ่านศึก “อาร์ลิงตัน” รัฐเวอร์จิเนีย

วัน “เมโมเรียล เดย์” นี้ มีความหมายกับดิฉันมาก ดิฉันจะถือเป็นวันที่รำลึก ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พ่อ แม่ พี่สาว และน้องชายคนรองมา (น้องหายสาบสูญที่ประเทศลาวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976) พี่สาวเสียวันที่ 26 เมายน เผาวันที่ 13 พฤษภาคม ดิฉันเหนื่อยใจ และกายมาก ไม่มีแรงเขียนคอลัมน์ และมาประกอบกับญาติสามีที่ดิฉันรักและสนิทมาก หัวใจวายตายเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม เขาเป็นผู้ที่ทำให้ดิฉันได้เจอกับสามี และแต่งงานกัน

ดิฉันเขียนคอลัมน์นี้เมื่อวาน ถ้ามีแรงเขียนคอลัมน์นี้จนจบ แสดงว่าดิฉันโอเคแล้วค่ะ คำสอนของคุณแม่อีกประโยคตอนคุณพ่อเสีย คือ “เสียหนึ่ง อย่าเสียสอง นะลูก” จริงค่ะ ชีวิตเดินหน้าต่อไป “ลาบิด้า ซิเก่” (La vida sigue) “ไล๊ฟ โกส์ ออน” (Life goes on)

แล้วคุยกันเดือนหน้านะคะ

ปีใหม่ มองโลกใหม่

แฮ็ปปี้สงกรานต์ 13 เมษา 2023(2566) ทุกคนนะคะ ปีใหม่นี้มาเริ่มต้นกันใหม่  3 ปีที่ผ่านมาชีวิตหลายคนได้เปลี่ยนไป เนื่องจากโควิดระบาด ข่าวสถิติคนตายจากโควิดประโคมกันทุกวัน ทำให้คนหวาดกลัว ต่างหวาดระแวงและไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เพราะกลัวติดโควิด มาถึง ณ.วันนี้ในรัฐคาลิฟอร์เนียข่าวโควิตแทบไม่มี ดิฉันมองย้อนหลังใน 3 ปีที่ผ่านมา ชีวิตครอบครัวเราเปลี่ยนไปมากเช่นกัน แต่ถ้ามองในแง่ดี มันก็ดีจริงๆนคะ ฉะนั้นเรามามองโลกใหม่กันเถอะ

สุขภาพดีขึ้น

เมื่อโควิดระบาด อเมริกาปิดประเทศ(ถ้าจำไม่ผิด)วันที่ 18  มีนาคม 2020 สถานที่ราชการ โรงเรียน ที่ทำงาน ร้านอาหารและยิมที่ดิฉันไปโยคะ 7 วันปิดหมด และรัฐบาลยังห้ามไม่ให้มีการมาชุมนุมกันนอกจากจะเกี่ยวกับสุขภาพ ดิฉันตัดสินใจเปิดคลาสโยคะ 6 วันที่บ้าน ดิฉันตีความหมายในแง่ทนายว่าเราไม่ได้ทำผิดกฎ เพราะโยคะคือการชุมนุมกันเพื่อสุขภาพ ในคลาสโยคะ 1 ชั่วโมง 15 นาที ดิฉันได้เพิ่มสอนวิธีหายใจ(นั่งลมปราน) เพื่อสร้างภูมิต้านทานและเพิ่มพลังปอด 15 นาที นักเรียนที่มาโยคะตลอดตั้งแต่นั้น แต่ละคนมีโรคประจำตัวเช่น ถุงลมโป่งพอง (ปัจจุบันไม่ต้องใช้ยาและอ๊อกซิเจนช่วย) เบาหวาน (จากฉีดยาเข้าตาทุก 6 สัปดาห์กลายเป็นไปเช็คอย่างเดียวทุก 18 สัปดาห์) รื้อฟื้นจากมะเร็ง (จากเช็คร่างกายทุกเดือน เป็นปีละครั้ง)  กระดูกบาง (ปัจจุบันปกติ) เป็นต้น นักเรียนแต่ละคนอายุระหว่าง 65-80 ปี ทุกคนแฮ็ปปี้ ดิฉันไม่ได้กลับไปยิมอีกเลย ต้องขอบคุณ“โควิด”

ครอบครัวรักและสนิทกันมากขึ้น

ปีที่สองของโควิด ค.ศ. 2021 ดิฉันสูญเสีย “เอ๊กซ์”ลูกเขย“พ่อของหลาน”เดือนเมษา ซึ่งตายกระทันหัน และพี่เขย (อยู่เยอรมัน) เดือนตุลาคม เป็นหัวใจวายตาย ชีวิตหลานและพี่สาวเปลี่ยนไป หลานโกรธแม่ไม่พูดกันเกือบ 1 ปี พี่สาวดิฉันก็เศร้าโศรกสุดๆดิฉันเคยสัญญาว่าถ้าพี่เขยตายดิฉันจะบินไปหาทันที เพราะโควิดก็เลยไม่ได้ไป ปีนั้นดิฉันเศร้ามากไม่รู้จะช่วยหลานและพี่สาวได้ยังไง

เดือนมกรา ค.ศ. 2022 หลานชายโทรเข้าหาดิฉันขอมาโยคะที่บ้าน ดิฉันดีใจมากๆไปรับส่งเขาทุกวันจากบ้านย่า ระหว่าง 3-4เดือนที่เขามาโยคะก่อนเปิดเทอมเดือนพฤษภา หลานได้เปิดอกคุยกับดิฉัน ระหว่างขับรถรับส่งและทานข้าวกลางวันด้วยกันเป็นเวลาที่มีค่ามาก หลานเล่าว่านอกจากเขาจะเสียพ่อ เพื่อนสนิทมหาวิทยาลัยตายไป 6 คน ในปี 2021 จาก“โอเว่อร์โดส” ดิฉันขอบคุณพระเจ้าที่หลานเข้าหาดิฉัน ในกลางปีเดียวกันนั้น พี่สาวจากเยอรมันนีมาหาดิฉัน 1 เดือน เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจุ๊กจิ๊กจู๋จี๋กัน ตอนพี่เขยมีชีวิตเวลาทั้งสองมาหาเรา เราไม่เตยได้นั่งคุยกันสองต่อสองอย่างนี้ พี่สาวและดิฉันได้บินไปเที่ยวภาคตะวันออกกลาง และอยู่ชิคาโก้ 3 วันเพื่อไปหาหลานที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย เราคุยกับหลานเรื่องความรักกันในครอบครัว พ่อแม่ลูก และพี่น้อง ซึ่งได้ผล หลานได้โทรหาแม่ ตอนนี้ทุกอย่างลงตัว “โควิด”เป็นสาเหตุให้คนเครียด ซึมเศร้า โดยเฉพาะวัยรุ่น หนุ่มสาว แต่มองในมุมกลับ ครอบครัวต้องเป็นหลักให้กันและกัน และทุกอย่างจะมีผลในแง่ดี

ผลพลอยได้จาก“โควิด” ดิฉันกลายเป็น“เช็ฟ นานาชาติ”(Chef Inter) เนื่องจากร้านอาหารปิดหมด 1 ปีแรก ดิฉันลงมือทำอาหารเอง อิตาเลียน ฝรั่งเศษ เยอรมัน สแปนิช เป็นต้น และสิ่งดีอีกอย่างคือ โรงเรียนผู้ใหญ่ที่ดิฉันเรียนสแปนิชรวม 5 ปี พอเริ่มโควิด ร.ร.ปิดๆเปิดๆนักเรียนจึงลงทะเบียนน้อย สองเทอมที่ผ่านมาโรงเรียนยกเลิกคลาสเพราะนักเรียนไม่พอ ดิฉันเซ็งมากไม่อยากลืมภาษา แต่ไปเจอโปรแกรม Duolingo สแปนิชคลาสออนไลน์ ดีมากๆช่วยในการสนทนา ดิฉันไปได้เร็วเพราะแน่นหลักไวยากรณ์จากโรงเรียน ตอนนี้ดิฉันสามารถสนทนาภาษาสแปนิชได้ แล้วค่ะ “เย!!!”  ต้องขอบคุณ“โควิด”

สวัสดีปีใหม่นะคะ  เรามามองโลกในแง่ดีกัน

ช่วงถือศีล 40 วัน

คอลัมน์นี้เรามารู้จักวันศาสนาที่คัญของคนอเมริกันคือวัน“อีสเต้อร์”(Easter) วันอีสเต้อร์ในอเมริกาไม่เป็นวันหยุด ราชการเหมือนบางประเทศคริสเตียนอื่นๆ เพราะตามสิทธิรัฐธรรมนูญ ข้อ 1 คือ “อิสรภาพในการนับถือศาสนา” “Freedom of Religion” รัฐบาลไม่สามารถโปรโหมด (promote) ศาสนาใดศาสนาหนึ่งได้ (แต่ “คริสมัส” วันคล้ายวันประสูติพระเยซู เป็นวันหยุดราชการ ไม่มีใครโต้แย้ง 😄)  วันอีสเต้อร์จะตรงกับวันอาทิตย์ ปีนี้คือวันที่ 9 เมษา แต่ละปีวันอีสเต้อร์จะไม่ตรงกัน วิธีคำนวนวันอีสเต้อร์คือจะเป็นวันแรกของวันพระจันทร์เต็มดวง หลังจากวัน“วิษุวัติ” หรือ วัน“เอควิน็อกซ์” (Equinox) คือวันที่มีกลางวันและกลางคืนเท่ากันของฤดูใบไม้ผลิ เรียก “สปริง เอควิน็อกซ์” (Spring Equinox) ซึ่งจะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง 25 เมษายน 

วันสำคัญทางศาสนาก่อนวันอีสเต้อร์

วัน“แอ๊ช เว๊นส์เดย์” (Ash Wednesday) เป็นวันเริ่มแรกของเทศกาลอีสเต้อร์ ปี 2023 นี้ตรงกับวันที่ 22 กุมภา ผู้ที่เคร่งศาสนาจะเริ่มถือศีลวันนี้ ตามพระคัมภีร์ ตรงกับวันพุธเป็นวันแรกพระเยซูเริ่มอดอาหารเพื่อปฏิบัติธรรม ท่านและสาวกเดินเท้าข้ามทะเลทรายผ่านความธุรกันดารเป็นเวลา 40 วัน จนมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม (Jerusalem) สาเหตุที่เรียกว่า วัน “แอ๊ช เว๊นส์เดย์” (Ash Wednesday)  “แอ๊ช” แปลว่า ขี้เถ้า วัน “แอ๊ช เว๊นส์เดย์” คือ“วันรับขี้เถ้า” ชาวคริสเตียนที่เคร่ง จะไปโบสถ์ฟังสวดวัน  “แอ๊ช เว๊นส์เดย์”  และบาทหลวงจะเจิมขี้เถ้าให้ที่หน้าผาก (ดูรูป) เป็นรูปไม้กางเขน สัญลักษณ์ขี้เถ้า คือตามพระคัมภีร์กล่าวว่า ขี้เถ้ามาจากการเผาใบปาล์ม เหตุผลที่ใช้ขี้เถ้าเจิมหน้าผาก (ดูรูป) เป็นสัญลักษณ์เพื่อเตือนให้เรารำลึกว่า  “เราเกิดมาจากขี้เถ้า เมื่อตายเราก็กลายเป็นขี้เถ้า” “Remember, Man is dust, and unto dust you shall return”.  

วัน“ปาล์ม ซันเดย์” (Palm Sunday) พระเยซูเดินทางเข้าเมืองเยรูซาเล็ม ตรงกับวันอาทิตย์ เรียกวันนั้นว่า วัน “ปาล์ม ซันเดย์” ผู้คนที่ศรัทธารอรับท่านอยู่ที่ประตูเมือง พวกเขาได้โปรยใบปาล์มลงบนพื้นเพื่อให้ท่านเดินบนใบปาล์ม ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ที่ 2 เมษา (ดูรูป วันปาล์ม ซันเดย์ ที่สามีถ่ายมา) โบสถ์“เชิร์ช อ๊อฟ แอนนันซิเอชั่น” (Church of Annunciation) ในเมือง “นาซาเร็ทซ์”(Nazareth) ซึ่งเป็นบ้านเกิดสามีและบ้านอยู่ใกล้โบสถ์ รัฐบาลได้สถาปนาที่ตั้งโบสถ์นี้เป็นสถานที่สำคัญของศาสนาคริสต์และของพวกนักแสวงบุญ ตามประวัติศาสตร์สถานที่ตั้งโบสถ์นี้เชื่อว่าเป็นที่ตั้งบ้านเดิมของพระแม่มารี และสถานที่พระเยซูเติบโตมา

วัน“กู๊ด ฟรายเดย์” (Good Friday) 5 วันหลังวัน “ปาล์ม ซันเดย์” ซึ่งตรงกับวันศุกร์ มีสาวกผู้หนึ่งที่ทรยศต่อพระเยซูแอบไปแจ้งทหารโรมันว่าพระเยซูประกาศตนเป็นบุตรพระเจ้า  เมื่อกษัตริย์โรมันรู้เข้าท่านได้สั่งทหารฆ่าพระเยซู พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนและเดินไปตามท้องถนน ท่านสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในวันศุกร์นั้น เรียกวันนั้นว่า “กู๊ด ฟรายเดย์” (Good Friday) ซึ่งเป็นความเชื่อในศาสนาคริสต์เล่าว่า พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์

วัน“อีสเต้อร์” 2 วันต่อมาซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ หลังจากที่พระเยซูถูกฝัง เมื่อผู้ศรัทธาไปที่หลุมฝังศพพระเยซู ปรากฏว่าไม่มีร่างท่าน พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูคืนพระชนม์และขึ้นสวรรค์ ความเชื่อนี้ คือรากฐานสำคัญของศาสนาคริสต์ว่า พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อลบบาปของมนุษย์ เรียก“เรสเซอเร็กท์ชั่น อ๊อฟ จีซัส” (Resurrection of Jesus) 

วันที่ท่านคืนพระชนม์เรียกว่าวัน “อีสเต้อร์ ซันเดย์” (Easter Sunday) บางนิกายกล่าวว่า 3 วัน ฉะนั้นบางนิกายเรียก “อีสเต้อร์ มันเดย์” (Easter Monday)  รากศัพท์คำว่า “อีสเต้อร์” มาจากหลายสายแล้วแต่ประเทศใดจะแปล อันที่ดิฉันชอบมากที่สุดคือ “อีสเต้อร์” มาจากเทพเจ้าหญิงชื่อ “เอ็สเต้อร์” (Eostre) เป็นเทพเจ้าที่บูชากันในฤดูใบไม้ผล ถือเป็นเทพเจ้าแห่งการ ผลิตผล เริ่มฤดูใบไม้ผลิ ฤดู “สปริง” (Spring)

ถือศีล 40 วัน ช่วง“เล็นท์” (Lent)

เทศกาลถือศีล 40 วัน เรียก “เล้นท์” (Lent) หรือ เทศกาลมหาพรต คนที่เคร่งจะถือศีล โดย “ฟาสท์” (fast) คือ ไม่ทานเนื้อสัตว์ หรือตั้งใจทำ หรือสละ ละทิ้งอบายมุข เช่น เลิกบุหรี่ ดื่มเหล้า อธิษฐาน บริจาคสิ่งของ และดำเนินชีวิตโดยไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อรำลึกถึงพระเยซูที่ท่านสละชีวิตเพื่อลบบาปของพวกเขา ที่บ้านดิฉันช่วง “เล้นท์” ระหว่าง 40 วันนี้ เนื่องจากสามีดิฉันเป็นคาทอลิค เราไม่ทานเนื้อ นม ไข่ ทุกวันพุธ (วันแอ๊ช เว๊นส์เดย์) และวันศุกร์ (“กู๊ด ฟรายเดย์”)

สิ่งสูงสุดที่ดิฉันได้รับมาจากความเข้าใจในประวัติ ความสำคัญของ “อีสเต้อร์” คือประโยคที่พระเยซูกล่าว “We all have a cross to bear”.  ดิฉันแปลตรงตัว “เราทุกคนแบกไม้กางเขนกับตัว” ทุกเช้าวันเสาร์ดิฉัน bake ขนมและสามีทำกาแฟ มีเพื่อนบ้าน 5 คนมาร่วมกัน (ดิฉันทำมานานกว่า 20 ปี) ลูกชายดิฉันเป็นเด็กพิเศษ ซึ่งวันเสาร์นั้น ลูกชายมีอารมณ์ ดิฉันเหนื่อยใจมาก เพื่อนบ้านชาวไอริช คาทอลิค พูดประโยคนี้ให้ดิฉันฟัง จากพระคัมภีร์ “We all have a cross to bear”. ดิฉันตีความหมาย ว่า “ไม้กางเขนนั้นก็คือลูกชาย ที่ดิฉันต้องแบกเขาไปตลอดชีวิต” ทำให้ดิฉันสงบลงได้ Happy Easter นะคะ

การเปลี่ยนแปลงในอิมมิเกรชั่นระยะ 1 ปีที่ผ่านมา

สวัสดีปีใหม่ 2023 (พ.ศ. 2566) ต่อทุกคนนะคะ ดิฉันหายไป 2 เดือน เราไปฉลองปีใหม่ใปเมืองไทย หลังจากไม่ได้ไปมา 3 ปี เราแฮ็ปปี้มากๆค่ะ อากาศเดือนธันวาและมกราสุดยอด พอกลับมา ดิฉันก็นั่งมองโต๊ะทำงาน เฮ้อ!
ข่าวอิมมิเกรชั่นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ตามที่ ปธน ไบเดน ประกาศตอนหาเสียงว่าเขามีความตั้งใจจะ หาวิธีช่วยให้โรบินฮู้ดได้ทำงานอยางถูกกฎหมาย ช่วงระยะที่ผ่านมา สงครามในยูเครน ผู้ลี้ภัยยูเครนทะลักเข้ามาอเมริกามาก ถือเป็น “พรายออริตี้” (priority) ที่รัฐบาลต้องช่วยพวกผู้ลี้ภัยก่อน นึกอย่างนี้แล้วกันนะคะเพื่อสบายใจขึ้น พวกเราที่อยู่ในอเมริกาถึงจะอยู่เถื่อน แต่เราก็อยู่อย่างปลอดภัย เราไม่ได้ลี้ภัย


สองการเปลี่ยนแปลงในอิมมิเกรชั่นระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
ระยะเวลาขอใบเขียวชั่วคราวเร็วขึ้น
ปีแรก ชุดคณะรัฐบาลไบเดน ระยะเวลาขอใบเขียว กรุ๊บ เพร็ฟเฟอเร็นซ์ คือ คู่สมรสของซิติเซ่น ขอใบเขียวให้พ่อ/แม่ และ บุตรที่อายุต่ำกว่า 21 ปีของซิติเซ่น ระยะเวลาทำใบเขียวค่อยๆเร็วขึ้น ในช่วงกลางปีที่แล้ว ระยะเวลารอประมาณ 1 ปี ซึ่งช่วง ชุดคณะรัฐบาล ทรัมพ์ ระยะเวลารอใบเขียวช้ามากประมาณ 1 ½ -2 ปี
ข้อเปลี่ยนแปลงที่สองคือ นอกจากระยะเวลาทำใบเขียวจะเร็วขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว หลายเคสที่ดิฉันยื่น ไม่ต้องมีการไปสัมภาษณ์ที่อิมมิเกรชั่นออฟฟิส ทางอิมมิเกรชั่นเพียงขอให้ส่งหลักฐานพิสูจน์ว่าแต่งงานจริง หลังจากเราส่งหลักฐานต่างๆเข้าไป จะได้รับคำตอบทันทีว่าเคสผ่าน และลูกความได้ใบเขียวทางไปรษณีย์ มีบางเคสที่ลูกความได้ใบเขียวโดยไม่ได้ขอหลักฐานพิสูจน์
แต่ไม่ทุกเคสนะคะ การตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ เริ่มจากข้อมูลในฟอร์มที่คุณกรอก ประเด็นหลายอย่าง ตั้งแต่ประวัติการเข้าออกอเมริกาของคุณ เข้ามาด้วยวีซ่าอะไร แต่งงานเมื่อไร สถานภาพของคุณ โสด สมรส หรือหย่า แต่งและหย่ากี่ครั้ง อายุคุณและคู่สมรส ประวัติที่อยู่ ที่ทำงาน ของคุณและคู่สมรสซิติเซ่น ในระยะ 5 ปี ว่าทั้งสองอยู่ใกล้หรือไกลกันแค่ไหน ประวัติของซิติเซ่น ว่าเคยทำใบเขียวให้คนอื่นมาก่อนหรือไม่ กี่ครั้ง และหน้าที่ตำแหน่งการงานและรายได้ของซิติเซ่น ถ้าตัวซิติเซ่นประวัติหลักฐานการงานไม่ดี รายได้ต่ำ อาจเป็นข้อเพ่งเล็งว่ารับจ้างแต่งงานหรือไม่ เป็นต้น สรุปข้อมูลบนฟอร์มที่คุณกรอกจึงสำคัญมาก
ระยะเวลาขอใบเขียวถาวรนานขึ้น
ถ้าคุณยื่นเรื่องขอใบเขียวถาวร อาจใช้เวลานานถึง 2 ปี เพราะเมื่อต้นเดือนมกราคม ทางอิมมิเกรชั่นประกาศว่า เริ่มวันที่ 25 มกราคม 2023 ผู้ที่ยื่นเรื่องขอใบเขียว 10 ปี อิมมิเกรชั่นจะออกจดหมายตอบรับเคส จดหมายนั้นยืดอายุเป็น 2 ปี แทนที่จะเป็น 1½ ปี ระหว่างรอ คุณจะใช้จดหมายตอบรับและใบเขียว 2 ปีที่หมดอายุควบคู่กัน แทนใบเขียว คุณสามารถเดินทางออกประเทศได้ ข้อเตือน อย่าออกเกิน 1 ปี ถ้าคุณคิดว่าจะออกนอกประเทศเกิน 1 ปี ทางอิมมิเกรชั่นแนะนำให้คุณขอ “รีเอ็นทรี่ เพอร์มิท” (Reentry Permit) ฟอร์ม I-131 ก่อน เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาตอนกลับเข้าประเทศ อีกประเด็นหนึ่งคือ ถ้าขอใบเขียว 10 ปีใช้เวลานานขึ้น จะเป็นผลกับการขอซิติเซ่น เพราะโดยปกติผู้ที่ได้ใบเขียวจากการแต่งงานกับซิติเซ่น สามารถยื่นเรื่องขอซิติเซ่นได้ภายใน 3 ปี นับจากวันที่ได้ใบเขียวแรก (คนทั่วไปต้องถือใบเขียว 5 ปี จึงยื่นเรื่องขอซิติเซ่นได้) อันนี้ก็ต้องรอดูไปนะคะ

สวัสดีปีใหม่ จากครอบครัวดิฉัน รูปนี้ถ่ายช่วงคริสมัส 2022 ที่ Monsoon Valley Vineyard ที่หัวหินค่ะ

วิธีขอใบเขียวให้คู่สมรสและลูกเร็วที่สุด

สวัสดีฤดูใบไม้ร่วง “ออทัมน์ หรือ ฟอล” (Autumn or Fall) ฤดูใบไม้ร่วงรัฐคาลิฟอร์เนียตอนใต้ โดยเฉพาะแถบที่ดิฉันอยู่ อากาศดีมากค่ะ ไม่หนาวจัดเหมือนแถบตะวันตก และสวยมากเวลาใบไม้ร่วง

คอลัมน์นี้ดิฉันเขียนเรื่อง วิธีทำใบเขียวให้คู่สมรส ลูก และหลาน ให้เร็วที่สุด ตามกฎอิมมิเกรชั่นแบ่งใบเขียวเป็น 5 กรุ๊บตามลำดับครอบครัว คือ คู่สมรส พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง จำนวนโควต้าต่างกันแต่ละกรุ๊บ กรุ๊บไหนมีคนขอมาก ล้นโควต้าก็ต้องคอยเป็นปีๆ คอลัมน์นี้ดิฉันจะเขียน 2 หัวข้อ คือ วิธีเอาคู่สมรส ลูก และหลานมาอเมริกาให้เร็วที่สุด

ซิติเซ่น

กรณีคุณแต่งงานกับซิติเซ่น ซิติเซ่นสามารถยื่นเรื่องขอใบเขียวให้คุณ และลูก ที่อายุต่ำกว่า 21 ปีไม่สมรส กรณีคุณและลูกอยู่เถื่อนในอเมริกา (ผู้ถือใบเขียว ไม่สามารถขอใบเขียวให้คู่สมรส และลูกที่อยู่เถื่อนในอเมริกาได้ เขาต้องรอให้ได้ซิติเซ่นก่อน)  กรุ๊บนี้ไม่อยู่ภายใต้โควต้า จึงขอได้เร็ว ปัจจุบันระยะเวลาดำเนินเรื่องประมาณ 1 ปี+ 

ใบเขียวเงื่อนไข กรณีได้ใบเขียวจากการสมรสกับซิติเซ่น คือ ถ้าคู่สมรสขอใบเขียวให้คุณและลูกภายใน 2 ปีหลังจดทะเบียน คุณและลูกจะได้ใบเขียวเงื่อนไขหรือใบเขียวชั่วคราว 2 ปี (เพื่อป้องกันการแต่งงานปลอม) และเมื่อครบ 2 ปีนับจากวันที่ได้ใบเขียว ถ้าคุณยังอยู่กินกับคู่สมรส คู่สมรสและคุณต้องยื่นเรื่องขอใบเขียวถาวรหรือ ใบเขียว 10 ปีด้วยกัน กรณีหย่า คุณสามารถยื่นใบเขียว 10 ปีด้วยตนเองแต่ต้องมีเหตุผลดีพอ

ผู้ถือใบเขียว

ผู้ถือใบเขียว สามารถยื่นเรื่องขอใบเขียวให้คู่สมรสและลูกอยู่เมืองไทยได้ (ผู้ถือใบเขียว ไม่สามารถขอใบเขียวให้คู่สมรสที่อยู่เถื่อนในอเมริกาได้)  ปัจจุบันโควต้าใบเขียวกรุ๊บนี้มีจำนวนเหลือมาก ฉะนั้นไม่ต้องรอโควต้า ระยะเวลาดำเนินเรื่องประมาณ 1 ปี+ 

ข้อดี (1) กรณีคู่สมรส มีลูกเล็ก อายุต่ำกว่า 21 ปีไม่สมรส อาจเป็นลูกติดของคู่สมรส หรือลูกของคุณ คุณสามารถขอใบเขียวให้คู่สมรสและลูก ที่อายุต่ำกว่า 21 ปี ได้ ในเคสเดียวกัน คือขอใบเขียวให้คู่สมรสเคสเดียวและพ่วงเด็กมาได้ เท่ากับคุณประหยัดค่าธรรมเนียมอิมมิเกรชั่น ค่าฟอร์ม I-130 $535 กรณีมีลูกพ่วงมา 2 คน แทนที่จะจ่าย $535 x 3 = $1,605 (ตัวอย่างเดียวกัน ถ้าซิติเซ่นยื่นเรื่อง ต้องยื่นเรื่องแต่ละเคส เพราะไม่สามารถพ่วงลูกมาได้)

ข้อดี (2) กรณีแต่งกับผู้ถือใบเขียว คู่สมรสจะได้ใบเขียวถาวรหรือใบเขียว 10 ปีเลย จึงประหยัดเงินค่าธรรมเนียมทำใบเขียว 10 ปี เคสละ $680

กรณีต้องการเอาลูก หลานมาอเมริกา

ผู้ถือใบเขียว ถ้าคุณมีลูก หลาน ทันทีที่คุณได้ใบเขียว แนะนำให้คุณยื่นขอใบเขียวให้ลูกอายุเกิน 21 ปี ไม่สมรสหรือ หย่า ทันที เพราะ กรณีเขามีเด็กเล็กๆ (หลานคุณ) เด็กจะได้พ่วงพ่อหรือแม่มาได้ (คือคุณจ่ายค่าธรรมเนียมอิมมิเกรชั่น $535 เคสเดียวให้ลูก)  ถ้าเขายังอายุไม่เกิน 21 ปี เมื่อโควต้ามาถึง โควต้ากรุ๊บนี้ปัจจุบันรอประมาณ 7  ปี  ผู้ถือใบเขียวไม่สามารถขอใบเขียวให้ลูกที่สมรสได้

ซิติเซ่น สามารถยื่นขอใบเขียวให้ลูกอายุเกิน 21 ปี ไม่สมรสหรือ หย่า ได้ โควต้ากรุ๊บนี้ปัจจุบันรอประมาณ 8 ปี และซิติเซ่น สามารถยื่นขอใบเขียวให้ลูกสมรสได้  โควต้ากรุ๊บลูกสมรสปัจจุบันรอประมาณ 13 ปี แนะนำให้คุณยื่นเรื่องใบเขียวให้ลูกทันที โดยเฉพาะกรณีเขามีเด็กเล็กๆ (หลานคุณ) เด็กจะได้พ่วงพ่อหรือแม่มาได้ ถ้าเขายังอายุไม่เกิน 21 ปีเมื่อโควต้ามาถึง ระหว่างรอเรื่อง ถ้าลูกหย่ากับคู่สมรส เขาก็จะเปลี่ยนกรุ๊บจากลูกสมรสเป็น กรุ๊บลูกไม่สมรส ระยะเวลารอก็จะเร็วขึ้นเป็น 8 ปี

ข้อแนะนำ

ทันทีที่คุณได้ใบเขียว และคุณต้องการเอาลูกและหลานมาอยู่อเมริกา ถ้าลูกคุณไม่สมรสหรือหย่า (หรือต้องไปหย่า)แนะนำให้คุณยื่นเรื่องขอใบเขียวให้ลูกทันที เพื่อจะได้ล็อคโควต้าไว้ (ไม่ต้องถามลูกหรอกค่ะ ว่าอยากมาไหม 😄 เพราะเปลี่ยนใจกันได้) เพราะเวลาดำเนินเรื่องใบเขียว ดิฉันจะเปรียบเทียบว่า เข็มนาฬิกาเดินไปเรื่อยๆ (The clock is ticking)  และ เวลาเป็นเงินเป็นทอง (Time is of the essence) โดยเฉพาะต้องคำนวนอายุเด็กเป็นสำคัญ ถ้ารอโควต้านาน เมื่อโควต้ามาถึง เด็กอายุเกิน 21 ปี หรือ “เอจ เอ๊าท์” (age out)  เด็กไม่สามารถพ่วงพ่อ หรือ แม่มาได้

เที่ยว“มิดเวสท์”กับดิฉัน

คอลัมน์นี้เขียนรวบยอด 2 เดือนเลยนะคะ ที่ดิฉันหายไป เพราะ“พี่ต้อย”พี่สาวคนโตมาหาจากเยอรมันี เราไม่ได้เจอกัน 3 ปีเนื่องจากโควิดและพี่เขยพึ่งเสียชีวิตปลายปีที่แล้ว เราแฮ็ปปี้มากจุ๊กจิ๊กกันทั้งวัน “พี่อั๋น”และ“พี่แด๋น”เพื่อนสนิทจุฬาฯพี่ต้อย พี่ทั้งสองเคยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้ากว่า 40 ปีก่อน ได้ชวนเราไปหาและรับอาสาพาเราเที่ยวแถบ “มิดเวสท์” เที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้สนิทและใช้เวลากับพี่ต้อย  ดิฉันได้เรียนรู้ประวัติอเมริกาเกี่ยวกับรัฐแถบ“มิดเวสท์” และการบุกเบิกหรือ“ไมเกรชั่น” (migration) ของผู้อพยพจากพี่อั๋นและพี่แด๋น 

4 เขต ของอเมริกา

ก่อนอื่นทำความรู้จักการแบ่งเขตอเมริกา เป็น 4 เขต ตามโซนเวลา

1. เขตฝั่งตะวันออก เรียก“อีสเทร์น” (Eastern) 

2. เขตภาคกลาง เรียก “เซ็นทรัล” (Central)  

3. ถัดไปทางตะวันตก เรียก “เมานเท่น” (Mountain)  เพราะมีเทือกเขาเยอะ และ

4. ฝั่งตะวันตก เรียก “ปาซิฟิค” (Pacific)

เพราะเรียบฝั่งมหาสมุทรปาซิฟิค  ดูรูป ไทม์โซน 4 เขตนอกนั้น รัฐอลาสก้า และ รัฐฮาวาย มีไทม์โซนของตนเอง

“มิดเวสท์” และ“เซ๊าท์เท่อร์นสเตทส”

ภาคเซ็นทรัล แบ่งเป็น 2 เขต รัฐทางเหนือ และรัฐทางใต้ ตอนเหนือ เรียก “มิดเวสท์” และรัฐตอนใต้ เรียก “เซ๊าท์เท่อร์น สเตทส” ดูรูป แผนที่ เขตแบ่งแยก“มิดเวสท์” และ“เซ๊าท์เท่อร์นสเตทส”

“มิดเวสท์” (Midwest) รัฐทางตอนเหนือติดชายแดนประเทศแคนาดา  ถึงตอนกลางของภาค มี 12 รัฐคือ นอร์ทดาโคต้า, เซาท์ดาโคต้า, มินนิโซต้า, วิสคอนซิน, มิชิแกน, เนบราสก้า, ไอโอว่า, อิลลินอยส์, อินเดียน่า, โอไฮโอ, แคนซัส, และ มิสซูรี่ นอกนั้นเป็นรัฐตอนใต้ “เซ๊าท์เท่อร์นสเตทส”(Southern States) รวม เท็กซัส โอคลาโฮม่า อาร์คันซอส์ เท็นเน็สซี่ เค็นตั๊กกี้ หลุยเซียน่า มิสซิสซิปปี้ และอลาบาม่า บวกรัฐทางตอนใต้ฝั่งตะวันออก สาเหตุของการแบ่งแยกรัฐ คือ  ปี ค.ศ. 1860 (2403) ประธานาธิบดีลินคอล์นประกาศเลิกระบบทาส รัฐทางใต้เป็นรัฐที่ใช้แรงงานทาสในการทำไร่ฝ้ายและยาสูบ จึงไม่ต้องการเลิกทาส เซาท์แคโรไลนาเป็นรัฐแรกที่ประกาศแยกตัวทำสงครามกับรัฐที่ต้องการเลิกล้มระบบทาส หลังจากนั้นรัฐ มิสซิสซิปปี้รัฐเทนเนสซี่ และรัฐทางใต้อีกหลายรัฐ ทะยอยร่วม และประกาศแยกตัวเป็นออกจากสหพันธรัฐ เป็นเหตุให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ หรือสงครามเลิกทาส

การเดินทาง

เราบินจากสนามบิน “ลองบีช” (Long Beach) คาลิฟอร์เนียไปสนามบิน “เดนเว่อร์” (Denver) โคโลราโด เขต“เมานเท่นส์” เวลาต่างกับคาลิฟอร์เนีย 1 ชั่วโมง เขต“เมานเท่นส์” มีภัยธรรมชาติ คือพายุไต้ฝุ่น ที่สนามบิน หน้าห้องน้ำ หญิง ชาย จะมีป้ายเขียนว่า “ทอร์นาโด้ แช็ลเต้อร์” (Tornado Shelter) หรือที่หลบภัยใต้ฝุ่น ยกเว้นห้องน้ำสุนัข ดูรูป 😁 ดิฉันไปถามพนักงานว่าป้ายนี้เขาหมายถึง ทอร์นาโดจริงๆหรือมีมุขตลกเรียกห้องน้ำว่าที่หลบพายุ เขาหัวเราะและโชว์รูปทอร์นาโดที่ลานสนามบินให้เราดู เป็นความรู้ใหม่สำหรับดิฉันว่าแถบเมาน์เท่นมีภัยธรรมชาติคือ ทอร์นาโด

เราต่อเครื่องไป เซ็นท์ พอล มินนิโซต้าถึงบ่ายสายๆ“พี่อั๋น”และ“พี่แด๋น”มารับ  เวลามินนิโซต้าต่างกับคาลิฟอร์เนีย 2 ชั่วโมง เรานอนที่เซ็นท์ พอล 2 คืน รุ่งขึ้นพี่เขาพาเราไปเดินเรียบแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ดิฉันได้ความรู้เพิ่ม เกี่ยวกับความสำคัญของแม่น้ำและการอพยพหรือ “ไมเกรชั่น” ของพวกบุกเบิกและพวกอพยพ

แม่น้ำมิสซิสซิปปี้

แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของ “มิดเวสท์” ทั้งในด้านการเดินทางและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ แถบแม่น้ำมีพื้นที่ราบ มีความอุดมสมบูรณ์ พวกคนพื้นถิ่น-อินเดียนแดงตั้งรกรากอยู่สองฝั่งน้ำมา คำว่า “มิสซิสซิปปี้” มาจากภาษาพื้นถิ่น คนอินเดียนแดงเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า “บิดาของแม่น้ำ” หรือ “เดอะ ฟาเท่อร์ อ๊อฟ วอเท่อร์ส” (The Father of Waters)  คำ “มิสซิ” (misi) แปลว่า ใหญ่ “ซิปปี้” (sipi)  แปลว่าน้ำ ต้นน้ำแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เริ่มต้นจากรัฐมินนิโซต้าติดประเทศแคนาดา มาจากทะเลสาปเล็กๆหลายทะเลสาปและไหลลงใต้ ผ่านรัฐทั้งหมด 6 รัฐคือ รัฐมินนิโซต้า รัฐไอโอวา  รัฐอิลลินอย รัฐมิสซูรี รัฐเทนเนสซี และ รัฐหลุยเซียน่า ที่เมืองนิว ออร์ลีนส์ และออกอ่าวเม็กซิโก ที่เมือง เซ็นตหลุยส์ รัฐมิสซูรี แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไปบรรจบกับแม่น้ำมิสซูรี่ เรียกว่า แม่น้ำมิสซิสซิปปี้-มิสซูรี่ Mississippi-Missouri River ซึ่งเป็นแม่น้ำที่สำคัญและยาวที่สุดของอเมริกา  ดูรูป สายน้ำ แม่น้ำแม่น้ำมิสซิสซิปปี้-มิสซูรี่

การอพยพ “ไมเกรชั่น” (Migration)

วันรุ่งขึ้นเราไปเดินเรียบแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ดูรูป พี่อั๋นเล่าประวัติพวกผู้อพยพที่“ไมเกรท” (migrate) เข้าแถบมิดเวสท์ คือ ปีค.ศ. 1783 (2326) หลังสงครามปฏิวัติระหว่างอเมริกาและอังกฤษสิ้นสุดลง อังกฤษรับรองให้รัฐเมืองขึ้น 13 รัฐเป็นรัฐเอกราชและให้ดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นพวกบุกเบิก “เซ็ทเล่อร์” (Settlers) “ไมเกรท” หาอาณานิคมใหม่ทางตะวันตกเฉียงตอนเหนือเรียก “นอร์ทเวสท์ แทริโทรี่” (Northwest Territory) เริ่มจากเรียบติดฝั่งแคนาดา แต่เพราะตอนเหนืออากาศหนาวจัด มีหิมะและธารน้ำแข็ง ปลูกพืชไม่ได้ ได้แต่ต้นไม้ใหญ่ ผู้คนจึงตั้งรกรากอยู่น้อย เรียบลงมาทางใต้อากาศไม่หนาวจัด ดินดี อุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวสาลีได้ดี และมีทรัพยากรธรรมชาติ เช่นถ่านหิน น้ำมัน และเหล็ก เหมาะทั้งการกลิกรรมและอุตสาหกรรม เพราะสามารถใช้พลังน้ำจากแม่น้ำปั่นเครื่องจักรได้ ผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาจากยุโรปโดยเฉพาะชาวเยอรมันและชาวแสกนดิเนเวียน ดูรูป สองอุตสาหรรมใหญ่เกิดขึ้นคือ โรงงานผลิตแป้ง “พิลส์เบอรี่” (Pillsbury) และ“โกลด์ เม็ดเดิล” (Gold Medal) ชาว “โบฮีเมียน” (Bohemian) พวกยิปซีจากแถบประเทศเช็คส์ (Czech) ได้หลั่งไหลกันเข้ามาทำงานโรงแป้ง พวกเขาตั้งรกรากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เราไปดูจุดอนุสรณ์หมู่บ้านชาวโบฮีเมียน “โบฮีเมียน แฟลทส์” (Bohemian Flats) ดูรูป ความเฉิ่มของดิฉันพยายามมองหาตึกแฟลทส์ แต่ที่จริงคำว่า“แฟลทส์” ในที่นี้แปลว่า “ที่ราบ”  ดูรูป

ปี ค.ศ. 1803 (2346) อเมริกาซื้อรัฐ “หลุยเซียน่า” จากฝรั่งเศษ เป็นการขยายดินแดนกว้างของที่ราบตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำมาซิสซิปปี้ คลอบคลุมทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มาก เรียกแถบนี้ว่า “เดอะ เกรท เพลนส์” (The Great Plains) เปิดทางให้พวกบุกเบิกและผู้อพยพไปลงทางตอนใต้ คนพื้นถิ่น-พวกอินเดียนแดงอยู่แถบนี้มาหลายพันปีก่อน แถบนี้เป็นแถบพื้นที่ราบ และที่ราบสูง ทำนา เลี้ยงฟาร์ม  ทำกสิกรรมได้ดีมาก ผู้อพยพได้รุกร้ำเข้าดินแดนพวกอินเดียนแดงที่อยู่มาก่อน ภายหลังรัฐบาลและพวกอินเดียนแดงได้ทำสนธิสัญญา จัดสรรเขตให้ที่ดินพวกอินเดียนแดงอยู่ เรียก เรเซอร์เวชั่น (reservation)

รัฐวิสคอนซิน 

จาก เซ็นท์ พอล พี่อั๋นขับรถไปวิสคอนซิน สโลแกนของรัฐ คือ อเมริกา’ส เดรี่แลนด์ (America’s Dairy land) เพราะเป็นรัฐ นม เนย ไข่ อุดมสมบูรณ์ ระหว่างสองข้างทาง เห็นแต่พื้นราบ เขียวชอุ่ม มองแล้วเหมือนนาข้าวเมืองไทย เห็น ธารน้ำเล็กๆมาตลอด ในธารมีแหนและผักตบชวา ไม่เห็นต้นไม้ใหญ่ และไม่เห็นวัวสักตัว พี่อั๋นบอกว่า รัฐวิสคอนซินมีหน้าดินตื้น จึงไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ต้นสน ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง ซึ่งใช้เป็นอาหารวัว และวัวที่นี่เป็นวัวนม ไม่ใช่วัวเนื้อ วัวถูกเลี้ยงในโรงนา ไม่อยู่ตามทุ่ง ระหว่างทางเราแวะร้านขายของที่ระลึกซื้อ “ชีส” (cheese) คนงานในร้านหลายคนพูดมีแอ๊กเซ่นเยอรมันส่วนมาก ดูรูปเจ้าหนูแทะ cheese หน้าร้าน เห็นแล้วน่าเข้า

เรานอนที่วิสคอนซิน 3 คืน สองคืนที่เมือง “เคโนช่า” (Kenosha) ภาษาอินเดียนแดง เป็นชื่อปลา “ไพ๊ค” (pike) หรือ “พิคเคอเรล” (pickerel) แถบนี้เป็นพื้นที่คนพื้นถิ่น-อินเดียนแดงอยู่มาก่อน แอร์ บีเอ็นบี ที่พักเรา เดิน 5 นาทีถึงทะเลสาปมิชิแกน “เล๊ค มิชิแกน” (Lake Michigan) เราออกไปเดินเล่นชายทะเลสาปตอนเช้า ดูรูป

ทะเลสาปมิชิแกน ท้องฟ้าสวยมาก

เราได้ไปดูบริเวณหมู่บ้านคนอินเดียนแดง เงียบสงบ ไม่มีคนเดินพลุกพล่าน มีแต่บ้านเนื้อที่กว้าง อยู่ห่างกัน มีถังน้ำและเครื่องปั้มน้ำอยู่นอกบ้าน โรงเรียนเด็ก โบสถ์เล็กๆ และที่น่าสนใจคือ สุสานคนอินเดียนแดง เรียก “อินเดียนมาวนด์ส” (Indian Mounds) หลุมศพ ทำง่ายๆ คือแค่ขุดดิน ฝัง และกลบดินเป็นเนิน ปักป้าย คนมีเงินหน่อยก็ทำหินสลักชื่อ ดูรูป

อินเดียน มาวนด์ส (Indian Mounds)

เมืองเคโนช่าอยู่ห่างจากเมืองเล็กๆชื่อ“บริสตอล” (Bristol) ซึ่งอยู่ติดชายแดน “ชิคาโก” (Chicago) เพราะมีโปรแกรมที่จะไปดูงานแฟร์ที่ หลานชายดิฉันไปออกร้านเปิดบูทซ์ขายสินค้า ศิลปะ ที่งาน“บริสตอล เรอเนซองส์ แฟร์” (Bristol Renaissance Fair) เป็นงานออกร้านใหญ่มีชื่อเสียง ปีละครั้ง 9 สัปดาห์ วันสุดสัปดาห์ ต้นกรกฏาถึงกันยา สินค้าเป็นศิลปะ ยุค เรอเนซองส์ คนขายแต่งตัวแบบสมัยเรอเนซองส์ คนไปเที่ยวงานส่วนมากแต่งชุดยุคเรอเนซองส์ ดูรูป

“บริสตอล เรอเนซองส์ แฟร์” (Bristol Renaissance Fair)

ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์

เรานอนที่ชิคาโก 2 คืน จากเมืองเคโนช่า เข้าชิคาโกประมาณ 2 ชั่วโมง บรรยากาศเปลี่ยนเมื่อเข้าเขตชิคาโก ฟรีเวย์รถติดพอๆกับแอลเอ ชิคาโกเป็นเป็นเมืองที่เจริญเร็วมากและรุ่งเรืองที่สุดใน“มิดเวสท์” ปี ค.ศ. 1890 (2433) ชิคาโกกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรม 100% ในขณะที่แถบ “เดอะ เกรท เพลนส์” (The Great Plains) ยังทำกสิกรรม เมืองชิคาโกมีสโลแกนว่า “วินดี้ ซิตี้” (Windy City) เพราะลมแรงมากเนื่องจากดาวน์ทาวน์ ชิคาโกติดริมทะเลสาปมิชิแกน “วินดี้ ซิตี้” ตีอีกความหมายคือ “พ่นเป็นลม” ชิคาโกเป็นเมืองที่มีนักการเมืองจำนวนมากอยู่ ในศตวรรษที่ 19 พวกนักหนังสือพิมพ์เขียนล้อเลียนพวกนักการเมืองว่าพูดจากลับกลอกคือ “พ่นเป็นลม” หลานพาเรานั่งรถไฟฟ้าเข้าดาวน์ทาวน์ชิคาโก ดูโรงเรียนที่หลานเรียน ชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ปาร์ค เราเดินดาวน์ทาวน์ได้ทั้งวัน สำหรับดิฉันชิคาโกคล้ายเมือง “เบอร์ลิน” เยอรมัน เจริญมาก มองทางไหนจะเห็นตึกระฟ้า โรงละคร ดนตรีกลางแจ้ง สวนสาธารณะใหญ่ เด็กรุ่นใหม่พวกหัวอาร์ทิสท์อยู่มาก ชิคาโกได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมและเป็นแหล่งรวมพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ในดาวน์ทาวน์ดิฉันเห็นสถาบันศิลปะ (Art Institute) 3 แห่ง แต่ละแห่งมี “มิวเซียมแคมปัส” (Museum Campus) โชว์ผลงานของนักศึกษา 

ไฮเวย์สาย  66

จุดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของชิคาโกคือ ไฮเวย์สาย  66 หรือ “รูท ซิกส์-ตี้-ซิกส์” ( Route 66) เปิดใช้ปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) เป็นไฮเวย์ทางหลวงสายแรกของอเมริกา เป็นเส้นทางสำคัญในประวัติศาสตร์ของผู้อพยพ จาก“มิดเวสท์” และ “เดอะ เกรท เพลนส์” ไปฝั่งตะวันตก จุดเริ่มต้นจากเมืองชิคาโก ผ่าน รัฐมิสซูรี่ แคนซัส โอคลาโฮม่า เท็กซัส นิวเม็กซิโก อาริโซน่า สิ้นสุดรัฐคาลิฟอร์เนีย เมือง “แซนตา มอนิก้า” (Santa Monica) เขตลอสแอนเจลิส ความยาว 2,448 ไมล์ (3,940 ก.ม) ดูรูปแผนที่เส้นทางไฮเวย์สาย 66  

พายุฝุ่น“ดัสท์โบล” (Dust Bowl)

ระหว่างปี ค.ศ. 1930 – 1940 (2473-2483) เกิดพายุฝุ่นอย่างรุนแรง เรียก “ดัสท์โบล” (Dust Bowl) เป็นภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกายาวนานถึง 10 ปี พายุฝุ่นได้กวาดไปทั่วที่ราบสูง “เกรท เพลนส์”  (Great Plains) จุดที่เริ่มพายุฝุ่นเริ่มจากทางภาคใต้ของแคนซัส ดูรูปล่าง เฉดสีแดง ไปตะวันตกโคโลราโด ตะวันออกรัฐนิวเม็กซิโก เท็กซัสและโอคลาโฮมา ฝุ่นจาก“เกรท เพลนส์” ปกคลุมพื้นที่ประมาณ 100 ล้านเอเคอร์ที่ราบตอนใต้   “เซ๊าท์เท่อร์น เพลนส์” (Southern Plains) ดูรูปล่าง เฉดสีน้ำตาล และเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1934 (2477) ได้ปล่อยฝุ่น 12 ล้านตันในเมืองชิคาโก พายุฝุ่นนี้เป็นช่วงวิกฤติอย่างรุนแรงปลายปี ค.ศ. 1940 (2483) ผู้คน 2.5 ล้านคนได้ย้ายออกจาก แถบที่ราบอพยพไปตะวันตกโดยใช้เส้นทางไฮเวย์สาย 66  จากจำนวน 2.5 ล้านคน  200,000 คนย้ายไปอยู่คาลิฟอร์เนีย

ไฮเวย์สาย 66  ถูกยกเลิกออกจากระบบทางหลวงปี ค.ศ. 1985 (2528) แต่บนแผนที่ยังมีเขียนว่า“เส้นทางประวัติศาสตร์สาย 66”  หรือ ฮิสตอริค รูท 66 ( Historic Route 66) ปัจจุบันไม่สามารถขับรถได้ตลอดสายเพราะถนนพังมากไม่มีการซ่อมหรือทะนุบำรุง แต่บางส่วนของเส้นทางเดิมรัฐมีการกำหนดให้เป็นเส้นทางชมวิว (National Scenic Highway)

ที่สนามบิน “มิดเวย์” มี ห้องสวดมนต์ ห้องแม่ให้นมลูกกิน และห้องโยคะ ดูรูป ป้ายและห้องโยคะ  ดิฉันได้โยคะก่อนขึ้นเครื่อง พอออกจากห้องโยคะ เดินต่อจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นถังขยะสีเขียว ตั้งอยู่หน้าออฟฟิสตำรวจสนามบิน ดูรูป ถังขยะเขียว เขียนว่า “คานาบิส แอมเนสตี้ บ๊อกซ์” (Cannabis Amnesty Box) “คานนาบิส” คือ กัญชา “แอมเนสตี้” คือ การผ่อนผัน/ไม่เอาผิก เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเคยเห็น“ถังขยะให้ทิ้งกัญชา และจะไม่เอาผิด” ทันสมัยดีไหมคะ ชิคาโก !!!

ถังขยะทิ้งกัญชาและจะไม่เอาผิด

ถึงแม้ ปัจจุบันหลายรัฐในอเมริกาได้ผ่านกฎหมายให้ สูบกัญชาเพื่อการพักผ่อนหรือ “เร็คครีเอชั่น” (recreation) ได้ แต่กฎหมายรัฐบาลกลาง “เฟ็ดเดอรัล ลอว์” (Federal Law) ถือว่าผิดกฎหมาย สนามบินเป็นสถานที่ของรัฐบาลกลาง และ “แอร์ เสปซ” (air space) ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลาง ฉะนั้นที่สนามบิน และบนเครื่องคุณอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลาง ฉะนั้นการมีกัญชาในครอบครอง ผิดกฏหมาย  ข้อเตือนนะคะ อย่านำกัญชาติดตัวเวลาเดินทาง ไม่ว่าจะบิน ขับรถข้ามรัฐเพราะบางรัฐยังถือว่าผิดกฎหมาย และอีกข้อคือ “ไฮเวย์ อินเทอร์เสตท” (interstate highway) ระหว่างรัฐเป็นทางหลวง อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลาง และทางเรือ น่านน้ำทะเลอยู่ภายใต้ กฎหมายรัฐบาลกลาง เช่นกัน!!!!!